green and brown plant on water

สมาธิฟอกธาตุขันธ์

เวลาอ่าน : 5 นาที

เสียงธรรมจากห้อง  “เมตตาภิรมย์กรรมฐาน” 

วันอาทิตย์ที่ 22 มกราคม 2566

เรื่อง สมาธิฟอกธาตุขันธ์

โดย อาจารย์ คณานันท์ ทวีโภค

กำหนดความรู้สึกตัวทั่วพร้อม ผ่อนคลายกล้ามเนื้อทั่วร่างกาย ปล่อยวางความคิด  ปล่อยวางความกังวล กำหนดในความรู้สึกตัวทั่วพร้อม  ในความเบาและสบาย  วางทั้งร่างกาย  วางทั้งความกังวลทั้งหลาย  ออกไปจากจิตใจของเราให้หมด  เหลือแต่เพียงความสงบ  จากนั้นจึงกำหนดรู้ในลมหายใจสบาย  จินตนาการจินตภาพว่าลมหายใจของเรา   เป็นเหมือนกับแพรวไหมพลิ้วผ่านเข้าออกภายในกาย   ลมหายใจผ่านจมูก คอ อก  ท้อง และพริ้วผ่านจากท้อง อก  คอ  ผ่านไปยังจมูก  ลมหายใจพลิ้วไหวเป็นแพรวไหมอยู่เบื้องหน้า   แล้วก็มองเห็นเป็นมวลอากาศพริ้วไหว  ม้วนตัวย้อนกลับเข้าสู่ภายร่างกาย  คือจมูกของเรา   จิตจินตภาพจดจ่อเห็นลมหายใจ  ตลอดทั้งสายทั้งกล่องลมนั้น  ต่อเนื่องราบรื่น ละเอียด  ลมหายใจจากจิตที่เรากำหนด  เป็นแพรวไหม กลั่นลมหายใจให้กลายเป็นปราณ  เป็นพลังซีวิต ผ่าน เข้าออกในกายของเรา

เมื่อลมหายใจผ่านเข้าไปในร่างกาย  ก็ชักนำพลังชีวิต ปราณ เข้าสู่ร่างกายของเรา   เติมธาตุ เติมพลังชีวิต  ลมหายใจออกก็ชักนำโรคภัยไข้เจ็บ ไอพิษ ไอโรค  ขับออกพร้อมกับลมหายใจออก   ลมหายใจละเอียด ราบรื่น ผ่องใส ทุกลมหายใจชักนำปราณ  พลังชีวิต  มาหล่อเลี้ยงเยียวยาร่างกาย  ธาตุขันธ์ของเรา   ลมหายใจยิ่งละเอียดเบา ลมก็ยิ่งกลั่นละเอียดใส  อารมณ์จิตก็ยิ่งเบาละเอียด สบาย   ติดตามดู ติดตามรู้ในลมหายใจ   ลมหายใจละเอียดก็รู้ว่าละเอียดลมหายใจเบาก็รู้ว่าเบา  ลมหายใจมีความหนัก  มีความติดขัดก็รู้อยู่   กำหนดรู้ในลมของเราเองแต่ละคน   กำหนดรู้ในอารมณ์จิตของเรา  ลมหายใจยิ่งรายละเอียดราบรื่น  ใจของเรา  อารมณ์ใจของเรา  ยิ่งปลอดโปร่งโล่งเบา สบาย        อยู่กับลมหายใจสบาย   อยู่กับอารมณ์จิตที่สบาย  ถ้าลมหายใจมันมีอาการสงบ  ระงับลง  ช้าลง  เบาลง   ก็กำหนดรู้ว่านี่คือลมหายใจที่ละเอียดขึ้น   ลมหายใจที่ละเอียดขึ้น  คือสภาวะที่จิตเข้าสู่อานาปานสติ  ในฌานที่สูงขึ้นไปตามลำดับ  ลมหายใจยิ่งละเอียด จิตยิ่งเบาสบาย ปราศจากความกลัว  ลมหายใจมันจะหยุด  มันจะดับ  ก็ปล่อยมัน   เมื่อไหร่ก็ตามเที่ยวลมหายใจมันหยุด     กำหนดรู้จดจ่ออยู่กับตัวหยุด   ลมหายใจที่หยุด  หยุดพร้อมกับจิตหยุดการปรุงแต่ง   เข้าสู่อุเบกขารมณ์ เอกัคคตารมณ์   สภาวะที่จิตนิ่งหยุด  ปราศจากการปรุงแต่งทั้งหลาย   ลมหายใจหยุดสงบ  ระงับ  จุดนี้คือจุดสำคัญที่จิตเข้าถึงฌาน  4 ในอาณาปานสติ

เมื่อนิ่งหยุด  สงบ  อุเบกขา  เราย้ายความสนใจจากอานาปานสติ  การกำหนดรู้ในลม ย้ายมาอยู่ที่จิต         ลมหายใจหยุดนิ่ง   ตัวหยุด  ตำแหน่งที่หยุด กำหนดภาพนิมิตเป็นดวงกสิณ   เป็นดวงแก้วสว่าง  เลิกจับอานาปานสติจิตย้ายมาจับในกสิณ   คือเห็นกสิณจิตใสสว่าง  มากำหนดว่าจิตของเราที่ใสสว่างนั้น   อารมณ์จิตของเราผ่องใส สัมพันธ์กับภาพนิมิต  เข้าสู่กองแห่งกสิณ ไม่ต้องไปสนใจลม  ลมจะหายใจอีกก็ปล่อยเขา   อยู่กับภาพนิมิต   ดวงแก้วสว่าง  จิตที่เป็นดวงแก้วสว่าง   กำหนดต่อไป  แก้วเฉยๆ ใสเฉยๆ  ขึ้นอยู่กับอารมณ์ใจของเรา  ถ้าแก้วที่เป็นแก้วใสหากมีอาการขุ่น ก็แสดงว่ากำหนดจิต การกำหนดจิต การกำหนดสมาธิของเรา  ยังไม่ละเอียด  ยังความขุ่น ยังมีความหนัก  ยังมีความกังวล   ให้ทดลองกำหนดตามที่อาจารย์แนะนำ   คือยิ่งจิตเป็นสุข ภาพนิมิตยิ่งใส ลองกำหนดหากใครที่เห็นจิตที่เป็นดวงแก้ว  มีอาการของขุ่น ก็กำหนดยิ้มในจิต  ความรู้สึกเป็นสุข จากนั้นกำหนดต่อไปว่าดวงแก้ว  ดวงจิตของเราก็พลอยใสขึ้น  ยิ่งจิตยิ้ม จิตมีความสุข  ดวงแก้วยิ่งใส จากดวงแก้วที่ใส ค่อยๆ  กำหนดต่อไปว่ายิ่งมีความสุขเพิ่มขึ้น  กสิณจิตดวงแก้วกลายเป็นแก้วที่สว่าง คือมีแสงเจิดจ้าออกมาจากดวงแก้วดวงจิตของเรา  ใจก็ยิ่งมีความสุขมากขึ้น

จากดวงแก้วที่เป็นแสงสว่างใส ตอนนี้ในหลักวิชาการ  ในพระบาลีตามหลักของการปริยัติ  รวมถึงในตำราของวิสุทธิมรรค   จิตที่สว่างใส   จิตที่มีอารมณ์เป็นสุขอย่างยิ่ง   ละเอียดอย่างยิ่ง    สภาวะนี้คือ       การทรงอารมณ์อยู่ในอุคหนิมิตในกสิณ   จากอารมณ์จิตที่เห็นกสินจิตเป็นแก้วสว่าง   เราก็กำหนดอีกต่อไป  ให้ดวงแก้วแสงสว่างนั้นกลายเป็นประกายพรึก   คือแสงที่เป็นแสงสว่าง  แสงสว่างจะเป็นแสงขาว  กลายเป็นประกายรุ้ง เหลือบรุ้ง เจ็ดสี พร่างพราย แผ่ออกมาจากดวงแก้ว ดวงจิตของเรา  เป็นรุ้ง สว่าง พร่างพราย เป็นประกายพรึก และตัวดวงจิตก็ปรากฏกลายเป็นเพชรเจียรนัย ละเอียดยิบ ระยิบระยับ  แสงสว่างเป็นรุ้ง  เหลือมรุ้ง  พร่างพราย  สว่าง กระจายเต็มห้อง  เต็มอาณาบริเวณสถานที่  ที่เราฝึกสมาธิขณะนี้ทั้งหมด    อารมณ์จิต   สัมพันธ์ภาพนิมิต   ยิ่งสว่างยิ่งเป็นประกายพรึก  จิตยิ่งเป็นสุข ยิ่งเอิบอิ่ม ยิ่งผ่องใส  ทรงอารมณ์ในความผ่องใส  ภาพนิมิตที่เป็นประกายพรึก ตราตรึง

จากนั้นกำหนดจิต  ย้ายดวงกสิณ  ดวงแก้ว  หากใครที่กำหนดดวงกสินอยู่นอกกาย ก็กำหนดให้เคลื่อนผ่านเข้าทางรูจมูก หากท่านใดที่กำหนดอยู่ในกายแล้ว  ก็กำหนดอยู่    ทรงอารมณ์ไว้  เมื่อเคลื่อนเข้าไปแล้ว  ก็ให้เคลื่อนผ่านเข้าไป   ให้ไปตั้งอยู่ที่บริเวณศูนย์กลางกาย   ก็คือใต้สะดือลงมาประมาณ 2 องคุลี หรือ 2 นิ้ว   ฐานที่ตั้งของจิต สว่าง  การกำหนดจิต  กำหนดภาพนิมิต  บางครั้งบางคนอาจจะมีความถนัดสองตำแหน่ง ส่วนใหญ่ที่เป็นตำแหน่งสำคัญๆ ก็คือบริเวณอก  บริเวณอกก็จะเป็นฐาน ที่เหมาะกับการเจริญเมตตา  แผ่เมตตาจิตอยู่ที่บริเวณอก แผ่เมตตาสว่างออกไป  หากตั้งที่ฐานที่ศูนย์กลางกาย  ฐานที่ตั้งของจิตก็เป็นฐานที่เหมาะสม  กับการทำฌานสมาบัติ  กำหนดในตำแหน่งใดตำแหน่งหนึ่ง   ขึ้นอยู่กับความถนัดของแต่ละบุคคล  เอาที่จิตของเรารู้สึกคล่องตัว เหมาะสมและสบายกำหนดทรงอารมณ์จิตให้สว่าง  ประกายพรึก แสงสว่างที่เป็นรุ้งเหลื่อม  ทะลุกายออกมาทั้งหมด

จากนั้นกำหนดต่อไป   จากกสิณที่เรากำหนดเข้าสู่กาย   เมื่อกำหนดเข้าสู่ภายในกาย   อันที่จริงในตำราไม่ได้กล่าวไว้ในจุดนี้   แต่ตัวหลวงพ่อฤาษีฯ  ท่านเคยเมตตาสอน เมื่อไหร่ที่กำหนดให้ภาพกสิณก็ดี   ไม่ว่าจะเป็นการทรงภาพพระเข้าไปอยู่ในร่างกาย   การกำหนดจิตเห็นลูกแก้วทับซ้อนเข้าไปอยู่ในร่างกาย   การกำหนดการทะลุผ่านทับซ้อนในลักษณะดังกล่าว   ท่านก็ถือว่าเป็นอรูปสมาบัติแบบหนึ่ง   เนื่องจากการทะลุซับ ทับซ้อนทับกันได้นั้น   ต้องเพิกกายเนื้อเพื่อทะลุเข้าไปข้างในก่อน   ดังนั้นก็นับว่าเป็นอรูปด้วยเหตุนี้   เราก็กำหนดจิตต่อไปเห็นลูกแก้ว  จิตที่เป็นประกายพรึกผ่านในกาย  พอเห็นลูกแก้ว   กำหนดจิตต่อไปว่าแสงสว่าง  ที่เป็นรุ้ง เป็นประกายพรึกของลูกแก้ว  ฉายภายในกายของเรา   สว่างไปหมด   สว่างจนมองเห็นตับไตไส้พุง  โครงกระดูก เส้นเอ็น อวัยวะภายในทุกส่วน  กำหนดจิตว่าการทรงกสิณของเรา ทับซ้อนเชื่อมโยงควบกอง   มาเป็นกายคตา การกำหนดรู้ในอาการ 32 ในร่างกาย  กำหนดว่าแสงสว่างของดวงแก้ว ที่เป็นประกายพรึกฉายรัศมีแสงสว่าง  มองเห็นอวัยวะภายในชัดเจนทั้งหมด  เมื่อไหร่ที่เรากำหนดควบกับความรู้สึกตัวทั่วพร้อม   เราก็จะย้ายดวงแก้ว  ดวงแก้วของกสิณจิต  พร้อมกับภาพรู้ตัวรู้เคลื่อนไปในอวัยวะต่างๆ  ส่วนต่างๆ  ภายในกายได้ทั้งหมด

ตอนนี้ให้เรากำหนดอยู่ที่ศูนย์กลางกาย  ก็คือบริเวณใต้สะดือ 2 นิ้ว ในท้อง  กำหนดเห็นอวัยวะภายในกายทั้งหมด ทรงอารมณ์เห็นกายในกาย  เห็นอวัยวะภายใน เห็นกระดูก เห็นเส้นเอ็น  เห็นเส้นเลือด หลอดเลือด เห็นหัวใจเห็นตับไตไส้พุง ปอด  เห็นสมอง เห็นมันสมอง   ทุกส่วนในร่างกายของเรา เห็นรู้ด้วยญาณเครื่องรู้ของจิต ปรากฏขึ้นจากกสิณ  อันนี้คือกายภายใน  กายภายในเมื่อเห็นแล้ว การประยุกต์ใช้ ฌาน 4 ใช้งาน  เราใช้งานฌานสมาบัติ  ใช้งานกสิณ  ใช้งานกสิณ ก็คือ ใช้งานเครื่องรู้มาตรวจดูภายในกายของเรา   ส่วนใดที่เจ็บไข้ได้ป่วย ไม่สบาย ก็ใช้งานเครื่องรู้ไปตรวจ ไปดูในกาย  เอาเฉพาะรู้ในกายของเราก่อน   รู้ในกาย รู้เพื่อรักษาโรค   รู้ในวิปัสสนาญาณ คือรู้ว่าขันธ์ 5 ร่างกายนี้  เป็นสิ่งปฏิกูล  เป็นอสุภะ   มีมูดครูด  มีความสกปรกอยู่ภายใน   เป็นรังของโรค  หากพิจารณาในเรื่องของปฏิกูลสัญญาก็ดี   พิจารณาในเรื่องความเป็นรังของโรคก็ดี   ก็เป็นตัววิปัสสนา

หากใช้งานเป็นเครื่องรักษาโรค เราก็ไปพิจารณาดูว่า จิตอันเป็นประกายพรึก  พร้อมกับญาณเครื่องรู้  กำหนดรู้เห็นในกายของเรา  ส่วนไหนป่วยก็กำหนดรู้  กำหนดรู้แล้วก็ยังใช้งานจิตอันเป็นทิพย์ จิตอันเป็นปฏิภาคนิมิตได้      ส่วนใดที่กำหนดรู้  เห็นอวัยวะส่วนใดส่วนหนึ่งในร่างกาย  มันมีสีดำ  มันมีความเศร้าหมอง  เห็นเนื้องอก  เห็นสิ่งที่แปลกปลอม  เราก็กำหนดจิตขอบารมีพระ  ตั้งจิตรำลึกนึกถึงคุณพระพุทธเจ้า  นึกถึงคุณครูบาอาจารย์  นึกถึงคุณหลวงปู่หมอชีวกโกมารภัจจ์  มาเมตตาสงเคราะห์   ในการบำบัดรักษาเยียวยา   อวัยวะส่วนไหนที่เจ็บไข้ได้ป่วย  ไม่สบาย  ก็กำหนดให้ดวงแก้วเคลื่อนตัวขึ้นไปในส่วนนั้น  เช่นที่สมองศีรษะของเรา  รู้อยู่ว่ามีเนื้องอกอยู่ตรงกลาง  ระหว่างกลีบสมองทั้งสองข้าง  ก็กำหนดให้ดวงแก้วนั้นขึ้นไปอยู่ ณ บริเวณนั้น  กำหนดอธิษฐานจิต  ปรากฏความเป็นรุ้ง ประกายพรึก   ความเป็นเพชรประกายพรึกระยิบระยับ  แผ่รัศมี สลาย ฉายแสง เป็นรังสีเย็น  เป็นเหมือนกับแร่ใส สลายก้อนเนื้อต่างๆ  ให้มันสลายตัวไป ยุบตัวไป

กำหนดจิต  เห็นความเป็นประกายพรึกสว่าง  หากที่หัวใจของเรามันมีโรค มีอาการ ก็กำหนดจิตให้ดวงแก้วที่เป็นประกายพรึก  เคลื่อนตัวมาที่หัวใจ  กำหนดให้ดวงแก้วประกายพรึก สว่างเป็นประกายพรึก ทะลุทะลวงหลอดเลือดหลอดเลือดใดอุดตัน  ก็ทะลุทะลวงให้มีการลื่นไหล  เคลื่อนตัวของกระแสโลหิต   รัศมีความผ่องใส ความเป็นประกายพรึก  ทรงเพิ่มพลังชีวิตให้กับเซลล์กล้ามเนื้อหัวใจทุกดวง  กำหนดจิต กำหนดรู้ไว้เช่นนี้  จดจ่ออยู่ในตำแหน่งที่เราต้องการสัมผัสเยียวยา   แผ่ฉัพพรรณรังสีที่เราตั้งจิตอธิษฐาน   ขอบารมีพระพุทธองค์ ขอบารมีครูบาอาจารย์  ขอบารมีปู่ชีวกโกมารภัจจ์  ทรงอารมณ์ไว้เช่นนี้   กำหนดสลายล้างโรคภัยไข้เจ็บ  สลายล้างไอพิษ ไอโรค   ส่งพลัง กระแสพลังจิต พลังชีวิต พลังปราณ  เยียวยาไปยังอวัยวะต่างๆ

สำหรับคนที่ร่างกายแข็งแรงเป็นปกติ  ก็กำหนด  ขอแสงสว่าง  ดวงจิตที่เป็นเพชรประกายพรึกนั้น แผ่สว่างจนกระทั่งเห็นอวัยวะภายใน  กระดูก เส้นเอ็น หลอดเลือด เส้นประสาท ตับไตไส้พุง อวัยวะภายใน รวมไปถึงสมอง ปอด  ตับ กระเพาะอาหาร ลำไส้เล็ก  ลำไส้ใหญ่  ทุกส่วนทั่วร่างกาย สว่างใส ตามดวงจิตที่เป็นประกายพรึกตามไปด้วย   จนกระทั่งเห็นอวัยวะทุกส่วน สว่างเป็นแก้ว เป็นเพชร มีรัศมีแสงสว่าง  มีแสงสีรุ้งแพรวพราว สว่างออกมาจากกายเนื้อทั้งหมด  ตอนนี้ให้ทุกคนกำหนดเห็น กายเนื้อของเรา ใส  เห็นอวัยวะภายในทั้งหมด  และเป็นแก้วสว่าง  มีประกายรุ้งแผ่สว่าง  แสงสว่างที่แผ่จากกาย เจิดจรัส ครอบคลุมห้องทั้งหมดที่เราทำสมาธิอยู่ กำหนดทรงอารมณ์อยู่ เห็นกายของเราเป็นสีรุ้ง รัศมี ฉัพพรรณรังสีแผ่สว่าง  ทรงอารมณ์จิตนี้ไว้  ทรงฌาน  ทรงอารมณ์รู้กาย ในขณะที่เราทรงอารมณ์  เห็นอวัยวะทุกส่วนภายในกาย  เป็นเพชรประกายพรึกสว่าง  เราก็กำลังทรงอารมณ์จิตในอาการ 32 ควบกับกองแห่งกสิณ  เห็นอาการ 32 อยู่ในสภาวะที่เป็นปฏิภาคนิมิต  แผ่แสงสว่างรัศมีออก  กำหนดจิต นับแต่นี้ขอให้กำลังบุญฤทธิ์ กำลังแห่งสมาธิ วิปัสสนาญาณ  กำลังแห่งฌานสมาบัติ  ปรากฏผลอัศจรรย์     เป็นบุญญราศรี  รัศมีแผ่สว่าง  ให้กายของข้าพเจ้ามีบุญญราศรี ปรากฏกระแสแห่งเมตตา  กระแสจิตจงปรากฏ    ใจของเราตอนนี้เอิบอิ่ม    แช่มชื่น สว่าง แสงสว่างที่เห็นกายเป็นรุ้งประกายพรึก สว่างชัดเจน  ทรงอารมณ์ไว้  ใจเอิบอิ่มผ่องใส  ใจแย้มยิ้ม

จากนั้น   กำหนดจิตต่อไป  อธิษฐานจิตว่ากายนี้  ขันธ์ 5    กายหยาบไม่ใช่ตัวเรา  ไม่ใช่ของเรา  จิตอาทิสมานกาย  อันที่จริงแล้วมาจุติ มาอาศัย  มาอยู่ในร่างกายขันธ์ 5    แต่ขันธ์ 5    กายหยาบนั้นไม่ใช่ตัวเรา  ของเรากำหนดจิตเป็นวิปัสสนาญาณ  จากนั้นกำหนดจิตต่อไปว่าเราเพิกความเกาะ ความยึด ความสนใจในร่างกายขันธ์ 5      กำหนดจิตอธิษฐานระเบิดกาย  ในจิตเห็นกายเนื้อระเบิดออก  ระเบิดสว่างไปทั่วอนันตจักรวาล  จากกายเนื้อ กายหยาบ  กลายเป็นอนุภาคละเอียด  สลายกายหยาบ  ระเบิดกายหยาบ  กระจายไปทั่วจักรวาล  หมื่นแสนโกฏิโลกธาตุระเบิดกายหยาบ  ตั้งจิตอธิษฐาน  การมีกายเนื้อนี้จะเป็นครั้งสุดท้ายของเรา  นับแต่นี้เราจะไม่กลับมาเกิด เราตั้งจิตเพื่อพระนิพพานเป็นที่สุด อธิษฐานจิต ระเบิดกายหยาบ ใจเรากลับยิ่งปลอดโปร่ง หลังจากทิ้งกายทั้งหมด  ระเบิดกายหยาบทั้งหมด  กำหนดรู้ในใจของแต่ละคนนะ  คนไหนตัดได้ วางได้  ไม่มีความอาลัย ไม่มีความกลัว ไม่มีความเสียดาย  กับบางคนยังมีอาการดึง ๆ ของจิต  มีอาการกลัวบ้าง  ห่วงบ้าง  ยิ่งระเบิดกายยิ่งเบา กำหนดจิตว่าเมื่อทิ้งกายแล้ว  เหลือเพียงอาทิสมานกาย ระเบิดกายหยาบ  กายพระวิสุทธิเทพสว่างชัดเจน   จิตทิ้งความห่วง ความอาลัยในกายทั้งหมด

จากนั้นกำหนดจิตต่อไป  ว่าเรามีพระรัตนตรัย มีคุณพระพุทธเจ้า คุณพระธรรม คุณอริยสงฆ์ เป็นที่พึ่ง ที่อาศัยตลอดชีวิต  เป็นสรณะสูงสุดตราบเท่าเข้าถึงซึ่งพระนิพพาน กำหนดจิตอธิษฐาน พุ่งอาทิสมานกาย  ขอบารมีพระพุทธองค์  ขึ้นไปปรากฏอยู่บนพระนิพพาน อยู่เบื้องหน้าสมเด็จองค์ปฐม   พระพุทธเจ้าทุกๆ  พระองค์  พระปัจเจกพระพุทธเจ้า  และพระอรหันต์ทุกพระองค์  บนพระนิพพานกำหนดความเป็นกายพระวิสุทธิเทพ  สว่างชัดเจน  กราบทุกท่าน ทุกพระองค์  ด้วยจิตที่มีความเคารพ  จิตที่มีความนอบน้อม  อ่อนโยน  เมื่อกราบแล้ว  กำหนดจิต ขอพระพุทธองค์สมเด็จองค์ปฐม   ทรงเป็นประธานท่ามกลางมหาสมาคมบนพระนิพพานนั้น   ขอเมตตาทุกท่าน  แผ่ฉัพพรรณรังสี  กระแสธรรม  กระแสแห่งมรรคผล ส่งตรงลงมายัง กายพระวิสุทธิเทพของข้าพเจ้าแต่ละคน   ที่กราบเข้าเฝ้าอยู่บนพระนิพพานด้วยเทอญ

จากนั้นกำหนดน้อม  อธิษฐานขอพระพุทธองค์  พระปัจเจกพระพุทธเจ้า  พระอรหันต์ เมตตาอยู่ในปางประทานพร  แผ่ฉัพพรรณรังสี  กำลังบุญญฤทธิ์  กระแสธรรม กระแสมรรคผล  กระแสพระนิพพาน  ฉายฉัพพรรณรังสีเป็นรัศมีสีรุ้ง   พุ่งตรง  รวมตัวเข้ามา  โฟกัสรวมอยู่ที่เรา  คือกายพระวิสุทธิเทพของเราแต่ละคน กายพระวิสุทธิเทพของเรายิ่งสว่างขึ้น ใสขึ้น กำหนดพิจารณาว่า  เมื่อกระแสแสงสว่างของเรา  รับกระแสฉัพพรรณรังสีของพระพุทธองค์แล้ว  ใจเราพิจารณาชำระล้าง ความโลภ  ความโกรธ  ความหลง  ออกไปจากจิต  เครื่องพันธนาการของจิต  คือนิวรณ์ 5 ประการและสังโยชน์ทั้ง10  สลายออกไปจากจิต จากอาทิสมานกายของเรา   แสงสว่าง รัศมีกายพระวิสุทธิเทพของเรายิ่งสว่างขึ้น  ใสขึ้น  ชัดเจนขึ้น  รัศมีแสงสว่างที่เป็นประกายรุ้ง  ความเป็นเพชรระยิบระยับ   ยิ่งแผ่สว่างแพรวพราวมากขึ้น  อธิษฐานจิตขอบารมีพระพุทธองค์  ให้เคลื่อนอาทิสมานกายของเราแต่ละคน   เข้าไปอยู่ที่วิมานของเรา   กระแสฉัพพรรณรังสีของพระพุทธเจ้า กระแสของพระนิพพานยังแผ่รวมมายัง  อาทิสมานกายเราและวิมานของเราบนพระนิพพานแต่ละคน ยิ่งสว่าง เห็นกายพระวิสุทธิเทพของเรานั่งอยู่บนแท่น  ห้อยขา  ฝ่ามือวางบนตัก  อยู่ในวิมานที่สว่าง  เป็นแก้วระยิบระยับ  แสงสว่างรัศมีรุ่งโรจน์อย่างยิ่ง

กำหนดจิตทรงอารมณ์พระนิพพาน  ใจปราศจากความอาลัยอาวรณ์ในภพภูมิต่างๆ  ปราศจากความอาลัยในความมีร่างกายเนื้อ ขันธ์ 5 ปราศจากความอาลัยในการเกิด ปราศจากความอาลัยในบุคคลทั้งหลาย  กำหนดจิตทรงอารมณ์  เห็นกระแสความสว่าง  รัศมีกายชัดเจนเต็มกำลังอย่างยิ่ง  จิตเอิบอิ่มเป็นสุขอย่างยิ่ง   ทรงอารมณ์บริกรรรมในอารมณ์อุปมานุสติ

นิพพานัง ปรมัง สุขัง พระนิพพานเป็นสุขอย่างยิ่ง

ใจเรายิ่งผ่องใสสูงสุด  ความผ่องใสของจิตสูงสุด คือผ่องใสด้วยเหตุแห่งอารมณ์พระนิพพาน ว่าง วาง เบาจากสรรพกิเลสทั้งปวง  ว่าง วาง เบาจากสังโยชน์  เครื่องร้อยรัดทั้งหลาย   ใจปลอดโปร่ง  ปราศจากภาระ  ปราศจากความอาลัย  ปราศจากความห่วงใย  จิตเป็นอิสระ  สว่าง  เป็นสุข  ผ่องใสอย่างยิ่ง  ใจเบิกบานอย่างยิ่ง   ทรงอารมณ์ไว้ เห็นแสงสว่างเป็นเส้นรุ้ง 7 สี  เป็นเส้นแสง เส้นรุ้ง แผ่รอบกาย แผ่รอบวิมานของเราแต่ละคน  สว่าง  จิตเอิบอิ่มเป็นสุข

ทรงอารมณ์พระนิพพานไว้  กำหนดจิต  เมื่อจิตเรายิ่งทรงอารมณ์ในอารมณ์พระนิพพาน  ทรงความเป็นกายพระวิสุทธิเทพอยู่บนพระนิพพานมากเท่าไหร่   จิตยิ่งชินกับพระนิพพาน มีชั่วโมง มีนาที ที่อยู่บนพระนิพพานมากเท่าไหร่   จิตยิ่งชิน  เป็นฌาน  ถึงเวลาตายเรายิ่งเข้าถึงพระนิพพานได้โดยง่าย   ทำเหตุให้คู่ควรกับผล    ปรารถนาพระนิพพานในชาติปัจจุบัน จิตเราก็ต้องแนบ  จิตเราก็ต้องมีฉันทะ  จิตเราก็ต้องมีความรักอยู่กับพระนิพพาน  ว่างจากกิจการงานเมื่อไหร่  มีสติรำลึกรู้ได้เมื่อไหร่  ยกจิตขึ้นมาบนพระนิพพาน  ซ้อมทวนให้สภาวะอารมณ์กรรมฐานเต็มกำลังเสมอ   จะอยู่ในสถานที่ใด  อริยาบทใด  กายเนื้อยืน เดิน นั่ง นอน ทำงานอยู่ก็ตาม  อาทิสมานกายเรายกขึ้นไว้บนพระนิพพาน  ทรงอารมณ์ผ่องใสเต็มกำลังได้เสมอ   ปฏิบัติที่จิต   ไม่ใช่ปฏิบัติที่กาย  ปฏิบัติโดยทรงอารมณ์   คนอื่นเขาอาจจะไม่รู้ไม่เห็น   แต่เราทรงอารมณ์ยกขึ้นมา  เครื่องแต่งกายจะเป็นนักบวช จะเป็นแม่ชี จะเป็นผ้าขาว  หรือจะเป็นผ้าสี  ผ้าลายฆราวาส  แต่ความสำคัญอยู่ที่อารมณ์จิต   จิตเราแนบอยู่กับพระนิพพาน  จิตเราแนบอยู่กับพุทธเจ้า   สำคัญที่อารมณ์ใจ  ทรงอารมณ์ผ่องใส  สว่างจิตอันฝึกมาดีแล้ว   ย่อมนำสุข นำประโยชน์มาให้   ทรงอารมณ์ความผ่องใส ทรงอารมณ์พระนิพพาน

ในระหว่างที่เราทรงความเป็นกายพระวิสุทธิเทพในวิมาน   กำหนดพิจารณาว่าเมื่อไหร่ที่เราตายจากขันธ์ 5 เราก็จะเข้าถึงซึ่งพระนิพพานในสภาวะเช่นนี้    กิจทั้งหลาย  งานทั้งหลายจบกิจ  สิ้นภพจบชาติ   ไม่ต้องเวียนว่ายตายเกิดอีกต่อไป   เพราะจิตเรา  ไม่มีความรัก  ไม่มีความยึดติด  ไม่มีความปรารถนา   ไม่มีความพึงพอใจในความสุขจากภพอื่นภูมิอื่น   จิตตัดสังโยชน์ขาดสะบั้น  ใจของเราพึงพอใจในพระนิพพานจุดเดียว     กำหนดความรู้สึกตัวทั่วพร้อมในกายพระสุทธิเทพ   รู้สึกสัมผัสได้ถึงสภาวะของกายทิพย์เราขณะนี้   ทั้งในส่วนที่เป็นรูปลักษณ์เครื่องประดับ  เครื่องทรงต่างๆ   รู้สึกสัมผัสได้ว่าเราสวมชฎาอยู่      มีเครื่องทรงของกายพระวิสุทธิเทพ    มีอุบะ   มีทับทรวง     มีปั้นเหน่ง เข็มขัด  มีแหวนเต็มทั้ง 10 นิ้ว   ใส่ฉลองพระบาทปลายงอน   เป็นแก้ว  เกือกแก้ว  มีเพชรประดับชัดเจน  เครื่องทรงต่างๆ สว่างแพรวพราว   ความรู้สึกว่ามีแสงเหลือบรุ้ง   ฉัพพรรณรังสีแผ่ออกจากกายพระวิสุทธิเทพของเรา   สว่าง

หากกำหนดชี้นิ้ว  ก็มีแสงพุ่ง   เป็นแสงรุ้งประกายพรึก  พุ่งออกมาจากปลายนิ้ว    หากยกฝ่ามือขึ้น  ในท่าให้พร  ก็มีแสง   มีประกายแสงสีรุ้ง  แผ่สว่างออกมาจากฝ่ามือ   กำหนดจิตทรงความรู้สึกตัวทั่วพร้อม  ในขณะที่กำหนดรู้ในความกายพระวิสุทธิเทพ   เราก็พิจารณาว่าเราไม่ใช่ร่างกายเนื้อ   ร่างกายเนื้อไม่ใช่ของเรา   ตัดขันธ์ 5 กายหยาบซ้ำต่อไป  จนกระทั่งจิตของเรายอมรับ   ว่าเราคือกายพระวิสุทธิเทพ   จุดเดียวจุดสุดท้ายของเราคือพระนิพพานเท่านั้น ความหลง ความเกาะ ความยึด ในกายเนื้อในขันธ์ 5 ค่อยๆ จืด  ค่อยๆ จางลงทีละน้อย   ยิ่งอยู่บนพระนิพพานมากเท่าไหร่ ถี่เท่าไหร่ นานเท่าไหร่  ความจืดจางในความเป็นกายเนื้อก็ลดลง  จืดลง   ความแนบ  ความรัก  ความจดจ่อ  ความมั่นคงในพระนิพพาน   ก็ปรากฏขึ้นในจิตเต็มกำลัง    ใจของเรา  ปัญญาที่ตัดโมหะ  ตัวหลง  ตัวเพลิดเพลินในความเป็นมนุษย์     ก็จืดจางหายไป   บรรเทาไปจนหมด   กำหนดจิตเห็นกายพระวิสุทธิเทพ   สว่าง  จิตเอิบอิ่ม    จิตยอมรับตามความเป็นจริง  ตามธรรมะที่พระพุทธเจ้า  ทรงเมตตาตรัสสอน  ตามที่ครูบาอาจารย์  ท่านสืบต่อมาจนกระทั่งถึงเราทุกคน    จนเราได้สัมผัสรสแห่งพระนิพพาน   สัมผัสรสอันปราณีต  แห่งการเจริญพระกรรมฐาน   ทรงอารมณ์ความผ่องใส  สว่างชัดเจน

จากนั้น  น้องจิตอธิษฐาน   น้อมกระแสพระนิพพาน   กำลังพุทธบารมี   ธรรมะบารมี   สังฆะบารมี   กำลังสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย       กระแสจากพระนิพพาน     พร้อมกับกระแสเมตตาความรัก      ความปรารถนาดีต่อหมวดหมู่เวไนยสัตว์  เป็นการแผ่เมตตา  อุทิศส่วนกุศล  เจริญเมตตาอันไม่มีประมาณ  เมตตาอัปปมานฌาน   แผ่ลงมาจากพระนิพพาน  ลงไปอย่างอรูปภูมิ  อรูปภพทั้ง 4   แผ่เมตตาต่อไปยังพรหมโลกทั้ง 16 ชั้น แผ่กระแสจากพระนิพพาน  กระแสเมตตาลงไปยังสวรรค์ทั้ง 6 ชั้น  แผ่กระแสจากพระนิพพานลงไปยังภพของรุกขเทวดา  ภูมิเทวดาทั้งหลายทั่วจักรวาล  แผ่กระแสแห่งบุญกุศล  เมตตา  กระแสธรรม  กระแสมรรรคผล   ให้กับบรรดามนุษย์และสัตว์ทั้งหลาย  ที่มีกายเนื้อขันธ์ 5 ไม่ว่าจะอยู่บนโลกมนุษย์    หรือดาวดวงอื่นก็ตาม    แผ่เมตตาสว่าง  แผ่ออกไปทั่วอนันตจักรวาล     ทุกภพ ทุกภูมิ ทุกมิติทับซ้อน  แผ่เมตตาต่อไปยังภพภูมิของโอปปาติกะสัมภเวสี   ทุกมิติ  ทุกดวงดาวทั่วอนันตจักรวาล  ทั่วทุกมิติ  เมืองบังบด   เมืองลับแล  ภพภูมิที่ซ้อนต่างๆ   แผ่สว่างทั่วถึง   แผ่เมตตาต่อไปยังภพของเปรตอสูรกายทั้งปวง  แผ่เมตตาต่อไปยังนรกภูมิทุกขุม  ขอสัตว์นรกทั้งหลาย จงพร้อมรอรับ    เมื่อถึงวาระที่พ้นจากโทษทุกข์ภัย  มีบุญ  มีกุศล  มีแสงสว่าง  มีความสุข   มีทิพยสมบัติ   มารอ

จากนั้นกำหนดติดต่อไป   อธิษฐาน น้อมกระแสจากพระนิพพาน  กระแสธรรม    กำลังแห่งพุทธานุภาพ     ธรรมานุภาพ   สังฆานุภาพ    กระแสความศักดิ์สิทธิ์     กระแสความเมตตาแห่งพระโพธิสัตว์       พระมหาโพธิสัตว์      แผ่เมตตาลงมายังโลกมนุษย์  ลงมาสู่   วัดวาอารามสถานปฏิบัติธรรม   บ้านเรือนทั้งหลาย      กำลังแห่งพุทธานุภาพจงมาสถิตรักษายังพระพุทธรูป  ขอจงบังเกิดความศักดิ์สิทธิ์อัศจรรย์    มีเทวดา พรหม  คอยพิทักษ์รักษาพระพุทธรูป  พระบรมสารีริกธาตุ    พระธาตุเจดีย์    พระบรมธาตุเจดีย์    พระเครื่อง     วัตถุมงคลทั้งหลาย   จงมีกระแสแสงจากพระนิพพาน   กำลังแห่งพุทธานุภาพ   จงปรากฏอัญเชิญลงมาเต็มกำลัง   ผ้าประเจียก  ผ้ายันต์  ตระกรุด  สิ่งศักดิ์สิทธิ์วัตถุมงคลทั้งปวง   ขอจงเกิดบารมีแห่งพุทธคุณบริสุทธิ์   มาสถิตย์รักษา   ไม่ว่าจะเป็นของเราที่ครอบครองบูชา     หรือของบุคคลอื่นก็ดี

กระแสแห่งพุทธานุภาพขอจงสลาย ดับล้างอวิชา คุณไสย  สิ่งใดที่เป็นอกุศล   สิ่งใดที่เป็นกระแสแห่งมิจฉาทิฐิขอจงสลายดับล้างลงไป  ด้วยกำลังแห่งพุทธคุณ   นับแต่นี้ขอให้เขตพุทธอาณาจักร   จงมีแต่ความบริสุทธิ์แห่งกำลังของพุทธคุณ   กำลังแห่งสัมมาทิฐิ   กำลังแห่งความเป็นอุดมมงคล      กำลังแห่งกุศล    กำลังแห่งแสงสว่างแห่งบุญ   ขอจงปรากฏ  เพื่อน้อมนำให้โลก  ให้พุทธณาจักรเคลื่อนเข้าสู่ยุคแห่งชาววิไลด้วยเทอญ

น้อมกระแสแสงสว่างมาคุมโลกทั้งหมด  กระแสจากพระนิพพานส่องตรงลงมาอย่างโลกมนุษย์  สว่าง  จนโลกใสสว่าง มีประกายรุ้งประกายพรึก สว่าง จิตเรามีความยินดี กำลังแห่งกุศลที่เราเจริญพระกรรมฐาน  เป็นไปเพื่อประโยชน์  คือมรรคผลพระนิพพานของเราเองแต่ละคน   และเป็นไปในปฏิปทาสาธารณประโยชน์  มุ่งหน้าปรารถนาให้พุทธบริษัท 4 เข้าถึงบุญกุศล เข้าถึงความดี เข้าถึงมรรคผลพระนิพพาน ให้โลกขับเคลื่อนเข้าสู่ยุคชาววิไล   ใจเรายิ่งเอิบอิ่มยินดี   ในการเจริญทั้งพระกรรมฐานและการอุทิศส่วนกุศลอธิษฐานจิต

จากนั้นกำหนดจิตต่อไปนะ   ตั้งใจว่าการเจริญพระกรรมฐาน  การสอนของอาจารย์ที่บำเพ็ญ  ก็เพื่อน้อมถวายเป็นพุทธบูชา  ธรรมบูชา สังฆบูชา บูชาคุณครูอุปัชฌาอาจายร์ ท่านผู้มีพระคุณ ท่านผู้ประสิทธิ์ประสาทสรรพวิชาทั้งหลาย  ในทุกภพชาติ  ที่สะสมเพาะบ่มบุญบารมีมา  จนเกิดเป็นพระกรรมฐานที่มีความคล่องตัว  มีความชัดเจน  มีความกระจ่างแจ้ง  น้อมถวายเป็นบุญกุศลอุทิศให้กับพ่อแม่ทั้งในชาติปัจจุบัน  และพ่อแม่ในอดีตชาติ   กรรมฐานที่เจริญน้อม บูชาคุณท่านผู้มีพระคุณทั้งหลาย   ท่านที่เกื้อกูลสงเคราะห์ตัวเราทั้งหลาย  ช่วยเหลือมาทั้งทางโลกก็ดี  ทางธรรมก็ดี  ขอน้อมบูชาคุณท่าน   ท่านเคยให้ข้าวสักทัพพีหนึ่ง  ช้อนหนึ่ง แกงช้อนหนึ่งก็ตาม  น้ำสักแก้วหนึ่งก็ตาม   น้ำใจไมตรีที่มีให้ก็ตาม หรือกำลังบุญใหญ่ที่ท่านช่วยเหลือสงเคราะห์เต็มกำลัง เต็มที่ก็ตาม  ช่วยเราในทุกสิ่งทุกอย่างก็ตามคุณแห่งท่านผู้มีพระคุณทั้งหลาย  ขอน้อมด้วยกำลังบุญ  กำลังการเจริญพระกรรมฐาน   เป็นแสงสว่างถึงท่านเต็มกำลังใจด้วยเทอญ  ทุกท่าน ทุกพระองค์  ไม่ว่าท่านจะอยู่ในภพใดภูมิใจ  หรือนิพพานไปแล้ว  หรือท่านอยู่ในภพอื่นภูมิอื่น   หรือตอนนี้ท่านเป็นเทวดาพรหมก็ตาม   เป็นพญานาคก็ตาม   อยู่ในเพศ  ในภพใดก็ตาม   ขอแผ่อุทิศส่วนกุศล  ขอน้อมกุศลถึงท่านที่เคยช่วยเหลือสงเคราะห์เกื้อกูลมา   ผู้ที่เคยสนับสนุนมา   ขอกุศลจงถึงทุกรูป  ทุกนาม  เต็มกำลังด้วยเทอญ

จากนั้นอธิษฐาน ขอให้ความดีที่เราบำเพ็ญ  พระกรรมฐานที่เราเจริญดีแล้ว  กำลังกรรมฐานที่เราปฏิบัติจนอารมณ์จิตเข้าสู่อารมณ์สูงสุด  คือพระนิพพาน   เราขอน้อมให้ผลแห่งความดีนี้   จงสะท้อนย้อนกลับตราบที่เรายังมีขันธ์ 5 ยังอยู่บนโลกมนุษย์   ขอให้นับแต่นี้วิบากทั้งหลาย   อุปสรรคทั้งหลาย   จงสลายตัวลง   บุญจงส่งผลเต็มกำลังบุญจงส่งผลทันใจ  บุญบารมีทั้งหลายจงรวมตัวในชาติสุดท้ายของข้าพเจ้านี้   บุญบารมีทั้งหลายจงสำเร็จประโยชน์   เป็นมนุษย์สมบัติ   เกิดความอัศจรรย์แห่งการปฏิบัติ   จิตจงปรากฏความเป็นแก้วสารพัดนึก   ของทิพย์   ของวิเศษที่ได้ประทานที่ได้รับมา   จากเทพพรหมเทวา   สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย    ขอจงเกิดความเป็นทิพย์  อภิญญาอัศจรรย์นึกคิดอธิษฐานสิ่งใดจงสำเร็จ สัมฤทธิ์  สมความปรารถนา

กำหนดจิต   ลองนึกพิจารณาทบทวน   เราเคยฝึกมโนมยิทธิมา  เคยไปกราบท่านปู่ท่านย่า  เคยไปกราบท่านท้าวสหัมบดีพรหม  เคยไปกราบท้าวมหาราชทั้ง 4 เคยไปกราบพญานาค   กำหนดจิตคิดพิจารณา   ว่าเราเคยได้ลูกแก้วมากี่ลูก    เคยได้พระขรรค์  เคยได้จักรแก้ว  เคยได้ของเป็นทิพย์   อธิษฐานจิตว่า   ขอให้ของที่เราเคยได้รับเครื่องทิพย์  ของทิพย์   ที่เราเคยได้รับ   ขอจงมารวมตัวกัน    ลูกแก้วเคยได้รับมากี่ลูก   กำหนดจิตรวมเป็นลูกเดียวกำลังทุกครั้งที่เราเคยได้รับ   รวมตัวทบเท่าทวีคูณ   ลูกแก้วเคยรับมาสิบลูก   ร้อยลูก   กำหนดรวมเป็นลูกเดียว   กลั่นให้แน่นเปี่ยมพลัง  ลูกแก้วที่เคยได้กลายเป็นประกายพรึก สว่าง  อยู่ในฝ่ามือของกายทิพย์   พระขรรค์กลายเป็นเพชรระยิบระยับ  มีกำลังแห่งอิทธิฤทธิ์ บุญฤทธิ์เต็มกำลัง   ของวิเศษทั้งหลายจงปรากฏสว่าง  นับแต่นี้ขอให้ข้าพเจ้าสามารถใช้กายสิทธิ์  ใช้ของอิทธิฤทธิ์  เกิดเป็นอภิญญาสมาบัติได้อย่างอัศจรรย์    ใช้เพื่อสังเคราะห์เกื้อกูลชีวิตในทางโลก  ใช้เพื่อสงเคราะห์เกื้อกูลเพื่อนมนุษย์และสรรพสัตว์ด้วยเทอญ   จิตผ่องใส สว่าง กายทิพย์ กายพระวิสุทธิเทพ  ปรากฎแผ่แสงสว่าง   เป็นรุ้ง  เป็นประกายพรึก   อารมณ์จิตเอิบอิ่มผ่องใส

จากนั้นน้อมจิตอธิษฐาน   กราบลาพระพุทธเจ้าทุกพระองค์  พระปัจเจกพระพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์   พระอรหันต์  พระอริยเจ้า  เทพพรหมเทวาทุกพระองค์  แยกอาทิสมานกาย  เป็นจำนวนมากมายมหาศาลนับไม่ถ้วนกระจาย แยกกราบทั่วทุกภพภูมิ   ความรู้สึกนึกคิดว่าอาทิสมานกาย  เขาแยกไปของเขาเอง   พระอินทร์ก็ไปกราบ ท่านปู่ท่านย่า ท่านท้าวสหัมบดีพรหาก็ไปกราบ  ทุกท่านบนพระนิพพานกราบหมด   ท้าวมหาราชทั้ง 4 ก็กราบ ลุงพุฒิ พระยายมราช  นายนิรยบาลก็กราบ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่คุ้มครอง  ตามวัดวาอารามสถานที่ทั้งหลาย  เราก็แยกจิตกราบ   มากมายมหาศาล   จากนั้นกำหนดจิตให้กายทิพย์ทั้งหมด   ฟรึบ  กลับมารวมตัวกันบนพระนิพพานเหมือนเดิม  ในขณะที่กราบ เราน้อมรับกระแสบารมี เมื่อรวมอาทิสมานกายฟรึบ ก็รวมกลับมาเป็นหนึ่ง ก็น้อมให้บุญ   กลั่นให้กายที่มารวมเป็นหนึ่งนั้น  เปี่ยมแสงสว่าง เปี่ยมความผ่องใส   กายทิพย์  กายพระวิสุทธิเทพยิ่งเปี่ยมกำลังเพิ่มขึ้น  ชัดเจนเพิ่มขึ้น เมื่อกราบลาทุกท่านแล้ว  น้อมจิตน้อมรับกระแสมาแล้ว   เราก็กำหนดจิต พุ่งอาทิสมานกาย  กลับมาที่กายเนื้อ   พร้อมกับน้อมนำกระแสจากพระนิพพาน  เป็นลำแสงสว่างพุ่งลงมาด้วย   เป็นลำแสงสว่าง   คุมกายทั้งหมด  คุมบ้านทั้งหมด  คุมสถานที่ที่เราฝึกจิตเจริญพระกรรมฐานนี้  ให้สว่างผ่องใสเป็นเพชรระยิบระยับ    กำหนดใจเรา  มีความยินดีในการปฏิบัติ  รักในการปฏิบัติ  รักในการเจริญพระกรรมฐาน    น้อมกระแสจากพระนิพพานมาฟอกธาตุขันธ์  ขันธ์ 5 ร่างกายซ้ำอีกครั้งหนึ่ง  เห็นกายเป็นแก้วใสสว่าง  กายเนื้อ

จากนั้นกำหนดจิตอธิษฐาน  เป็นการอธิษฐานจิตหลังการเจริญพระกรรมฐานเต็มกำลัง   ความศักดิ์สิทธิ์อัศจรรย์ย่อมสำเร็จสัมฤทธิ์   จากนั้นกำหนดจิตนะ   โมทนาสาธุกับเพื่อนกัลยาณมิตรที่ปฏิบัติธรรมด้วยกันทุกคน รวมถึงพุทธบริษัททั้งหลายที่ปฏิบัติธรรม  จะในสาย นอกสาย  เราล้วนโมทนายินดีกับทุกท่าน   โมทนากับเพื่อนที่มาฟังไฟล์เสียง  มาปฏิบัติ  น้อมจิตตามในภายหลัง  บุญที่เกิดกับท่านออเราขออนุโมทนายินดีออและบุญที่เราได้สำเร็จประโยชน์ออเกิดความสุข  ความอิ่มใจ  เกิดอารมณ์พระกรรมฐาน  อารมณ์พระนิพพาน   เราขอน้อมกระแสแผ่อุทิศโดยเฉพาะเจาะจงให้กับกัลยาณมิตรทั้งปวง        ให้ท่านพอได้รับประโยชน์ความสุข    เกิดความรัก  ความสามัคคีในหมู่  ในคณะ  รวมตัวกันเป็นปึกแผ่นเหนียวแน่นดีงาม  ยังประโยชน์ทั้งต่อหมู่คณะและส่วนรวม  และพระพุทธศาสนา  ใจเราเกิดความเอิบอิ่ม ปิติยินดี  เกิดความผ่องใส

จากนั้นหายใจเข้าลึกๆ ช้าๆ  บริกรรม เข้า – พุทธ   ออก – โท

ลึกๆ ครั้งที่ 2  ธัมโม  ใจยิ้ม  จิตยิ้ม

ครั้งที่ 3  สังโฆ

กำหนดจิต  ว่าเรามีคุณพระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์ คุ้มครองรักษา  เรามีแต่ความเจริญรุ่งเรืองในธรรมแต่เพียงฝ่ายเดียว  มีพระนิพพานเป็นที่สุด  ตราบที่เรายังมีขันธ์ 5 ชีวิตรุ่งเรืองดีงาม  สุขภาพสมบูรณ์แข็งแรง  ไร้โรคาพยาธิมาเบียดเบียน   ด้วยอานิสงส์แห่งการเจริญพระกรรมฐาน  รวมถึงชีวิตมีความคล่องตัว  มีความโชคดี มีกระแสเงินสด  มีวิถี   มีหนทาง   เทพพรหมเทวดาเมตตาสงเคราะห์  เปิดทาง  เปิดประตูแห่งโภคทรัพย์ มีความคล่องตัว  เป็นอุบาสก อุบาสิกา  เป็นมหาอุบาสก มหาอุบาสิกา  ผู้ทำนุบำรุงคุ้มครองพระพุทธศาสนา   มีแต่ความดีงามไปพระนิพพานอย่างสง่างามกันทุกคน

สำหรับวันนี้  ก็ขอโมทนากับทุกคนด้วยนะครับ  ขอให้ตั้งใจปฏิบัติ  หากเป็นไปได้หลังการเจริญและกรรมฐานของตัวเราเองหรือมาฝึกร่วมกัน   ก็พยายามอธิษฐานจิตเขียนแผ่นทองอธิษฐานจิต  เพื่อพระนิพพานกัน  คนไหนยังไม่มีแผ่นทอง  ก็ขอความจำนงค์  ขอรับแผ่นทองได้นะครับ   ตรงนี้ก็เพื่อที่จะรวบรวมเป็นแสนคำอธิษฐานพระนิพพาน  เพื่อสร้างพระพุทธรูป   ซึ่งยังต้องรวบรวมอีกจำนวนมาก  หากมีคนมาปฏิบัติมากขึ้น  เพิ่มขึ้น  การสร้างพระพุทธรูปแสนคำอธิษฐานพระนิพพานก็รวดเร็วขึ้นตามไปด้วยนะครับ  อันนี้ก็ขอฝากประชาสัมพันธ์   แล้วก็หากท่านใดสนใจจะฝึก  จะเรียนในคอร์สที่เป็นการปฏิบัติในเรื่องของการเปิดความโชคดีในทางโลก   เป็นคอร์สทางโลกก็มี  คอร์สพลังแห่งความโชคดีเหลืออีกประมาณ 5 ที่  ใครสนใจก็ทักแต่ที่อาจารย์ได้  เผื่อบางคนยังไม่ทราบนะครับ  สำหรับวันนี้ก็ขอโมทนากับทุกคน   ให้ทุกคนประสบความสุข ความรุ่งเรือง ความร่ำรวย  โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเทศกาลตรุษจีน   ขอเหล่าเทพยดาทั้งหลาย  อำนวยอวยพร  ให้ทุกคนมีแต่ความสุข  ความเจริญยิ่งขึ้นไป

สำหรับวันนี้โมทนากันทุกคนสวัสดีครับ

ถอดเสียงและเรียบเรียง โดย คุณ สิริญาณี แลบัว

You cannot copy content of this page